บิ้วนี้เหมาะสำหรับผู้เล่นใหม่ในเกม Path of Exile 2 ที่อยากหนีสายระเบิด โดยเราจะเน้นการยิงปกติและใช้สกิลสายฟ้าเพื่อทำดาเมจ ถือว่าเป็นบิ้วที่เล่นได้ค่อนข้างง่ายสำหรับผู้เล่นใหม่เพราะไม่ค่อยซับซ้อนมากในช่วงแรก และสามารถเล่นจนจบไปจนถึง End Game ช่วงกลางได้และไม่ต้องเปลี่ยนของเยอะ
ข้อดีและข้อเสีย
| ข้อดี | ข้อเสีย |
| 1.เล่นง่ายไม่ต้องรีบิ้วบ่อยไปได้จน End Game | 1.ต้องเปลี่ยนหินสกิลเสริมไปมาบ้างในช่วงต้นที่หินสกิลยังไม่เยอะ |
| 2.ไม่ต้องเปลี่ยนของบ่อยหาของใช้ไม่ยาก(ในช่วงต้น) | 2.สู้บอสช่วงแรกลำบากต้องเริ่มเข้า Act 2 ถึงจะเริ่มง่าย |
| 3.ของสายนี้ราคาไม่แพงมาก (ณ วันทำ Content นี้) | 3.ช่วงท้ายหากจะเล่นต่อต้องมีของค่อนข้างเยอะ |
| 4.เคลียร์กองมอนไวสู้บอสดี | 4.ตัวค่อนข้างบางต้องใช้สมาธิเล่นระดับนึง |
| 5.ส่วนมากกดไม่กี่ปุ่ม | 5.ไปกับปาร์ตี้ลำบากหากไม่ได้มีของเยอะ |
แนวทางการเล่นจนจบถึง End Game
ช่วงต้นเกม: ในการเครียร์มอนสเตอร์ในช่วง Act แรกเราจะใช้สกิลลูกศรแตกเป็นหลัก และถ้าโดนรุมอาจจะใช้ลูกศรระเบิดมาช่วยอันนี้รวมถึงการสู้บอสตอนแรกๆ ด้วย แต่บางคนอาจใช้ปืนธรรมดายิงก็ได้ แต่หลังจากที่ได้ลูกศรความเร็วสูงมาแล้วชีวิตจะง่ายขึ้น เราสามารถใช้สกิลนี้ยิงมอนสตเตอร์ยูนิคและบอสได้แรงมาก โดยในการฟาร์มเราจะใช้ Fragmentation Rounds เป็นหลัก โดยให้ติด หินสกิล Scattershot + Lightning Infustion
ส่วนตอนตีบอสช่วงหลังให้ย้ายหินสกิลไปที่ High Velocity Rounds โดยเราจะมีดังสกิล Electrocuting Arrow ของสายธนูมาใช้เพื่อทำให้บอสติดชะงัก และโดนดาเมจแรงขึ้นเอาไวใช้ตอนยิงบอส หรืออีกวิธีคือหาถุงมือ Kitoko’s Current Jewelled Gloves มาใช้ ส่วนอาวุธหลักแนะนำว่าให้หา Rampart Raptor Tense Crossbow มาใช้งาน โดยหน้าไม้อันนี้จะทำให้เรายิงได้รัวๆ หลังจากรีโหลด ซึ่งใช้ได้จนถึงช่วงกลางๆ เกมเลย
ช่วงกลาง-ท้าย: ดาเมจจะเริ่มไม่พอ ต้องเปลี่ยนธนู โดยแนะนำว่าควรเริ่มเปลี่ยนหลังช่วงเลเวล 45 จะได้ไม่ตอ้งหาของบ่อย และใช้จนจบ Act 6 เลย หรืออาจจะเปลียนตอนช่วงท้ายๆ ก็ได้หากรู้สึกว่าดาเมจไม่พอจริงๆ โดยสามารถอ่านรายละเอียดแบบเต็มๆ ของบิ้วที่ผมเล่นช่วงท้ายเกมได้ที่ POE2 – Witch Hunter หน้าไม้สาย [End Game]
อุปกรณ์แนะนำ
Rampart Raptor Tense Crossbow – เอามาใช้ช่วง Act 2 – 4 แต่ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ใช้อันอื่นก็ได้เน้นที่ดาเมจ ให้ติดรูนเพิ่มดาเมจกายภาพ
Kitoko’s Current Jewelled Gloves – ทำให้มอนและบอสติด Electrocute ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้แต่ถ้ามีก็ดี ใช้ได้จนจบเกม แต่ถ้าหลังๆ ดาเมจล้นแล้วก็ไม่จำเป็นเท่าไหร่ หากใช้กับบอสเฉยๆ ใช้ Electrocuting Arrow (สกิลของธนู) ทดแทนได้ เพราะไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น ชิ้นนี้ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ แต่ถ้ามีช่วงต้นจะสบายขึ้นเฉยๆ
ในส่วนนี้เป็นเพียงของ Uniqe แนะนำเท่านั้นถ้าไม่มีก็ข้ามได้เลยโดยส่วนตัวผมใช้ Rampart อย่างเดียวส่วน Kitoko ไม่ได้ใช้ครับ
ค่าสเตตัสหลัก
อาวุธ – Physical Damage > Lighting Damage
หมวก – กันธาตุ > Evasion > Armour > HP > Status
เสื้อ – กันธาตุ > Evasion > Armour > HP > Status (ควรมีหลบรวมอย่างน้อย 1000 ในช่วงบทหลังๆ )
ถุงมือ – กันธาตุ > Armour > Physical Damage > Lighting Damage > เพิ่มเลือดหรือมานา
รองเท้า – Movement Speed > กันธาตุ > Evasion > Armor > HP
ประดับ – กันธาตุ > Physical Damage > Lighting Damage > ดูดเลือดหรือมานา
ในส่วนของสเตตัสของอุปกรณ์เราจะเน้นหลบเป็นหลักเพื่อเอาตัวรอด และเอาบัฟเพิ่มค่าเกราะจาก Passive Skill Tree ในช่วงท้ายๆ ของเนื้อเรื่อง ในส่วนของดาเมจที่เหมาะสมของอาวุธ ช่วงหลังจบ Act 3 ควรมี DPS สัก 200 และหลังจบเกมควรสัก 300 -400 เพื่อให้เล่นง่ายครับ (เช็ค DPS ได้ในเว็บเทรด)
แต้มโบนัสลงที่ไหนดี
DEX > STR > INT ให้อัปค่า DEX ให้เพียงพอกับเรียนสกิลในแต่ละเลเวล พอถึงแล้วให้เน้นไปที่ STR ทั้งหมดได้เลย ยกเว้นว่าอยากเล่นสาย Cast On ต่างๆ จะต้องแบ่งมาลง Int ด้วย แต่ช่วงต้นแนะนำว่าอย่าพึ่งสนใจมาก
สกิลแนะนำ
สกิลแนะนำสามารถใช้ได้จนถึงช่วงต้น End Game โดยบางสกิลจะซ้ำกัน ให้สลับเอาตามสถานการณ์
1.Fragmentation Rounds – ใช้ต้นเกมก่อนได้ Galvanic Shards (ถอดออกหลังได้ High Velocity Rounds)
2.Explosive Grenade – ใช้เคลียร์เวฟช่วงต้น (ถอดออกหลังได้ Voltaic Grenade)
3.High Velocity Rounds(ลูกศรความเร็วสูง) – ใช้ยิงบอสกับมอนทองก่อนได้ Shockburst Rounds (จริงๆ สามารถใช้ได้ยาวเลยถ้าชอบ)
- Lightning Infusion (ใส่เฉพาะตอนยิงบอส)
- Long Shot (ตอนหลังปลี่ยนเป็น HELF)
- Scattershot
4.Herald of Thunder(สาสน์สายฟ้า) – สกิลช่วยเครียร์มอน (อย่าลืมกดคลิกขวาเพื่อเปิดใช้)
- Magnified Effect
- Clarity
5.Galvanic Shards (ลูกศรกระแสไฟ) สกิลหากินใช้ตั้งแต่ได้มายันจบเกม หลังได้มาให้เอา Fragmentation Rounds ออกได้เลย
- Martial Tempo
- Lightning Infusion (ใส่ตอนเคลียร์ทั่วไป)
- Primal Armament
- HEFT (ได้ช่วงหลัง)
6.Voltaic Mark (คำแช่งก่อประจุ) – เอามาแปะใส่บอสเพื่อทำให้ติด Shock บ่อยขึ้น
- Magnified Effect
- Clarity
Voltaic Grenade(ลูกระเบิดประจุ) – ใช้แทน ExplosiveGrenade เอาไว้ช่วยทำให้ติด Shock กับ Electrocute
- Concentrated Effect (ตอนหลังให้ย้ายไปใส่ Shockburst Rounds)
7.Shockburst Rounds – จะยิงตัวที่ติดสถานะผิดปกติไฟฟ้าแรงเอามาใช้ยิงบอสตอนติดสถานะผิดปกติไฟฟ้าแทน จะทำดาเมจได้มกากว่าแต่หากขี้เกียจใช้ Voltaic อย่างเดียวก็ได้
- Elemental Focus
- Primal Armament
- Concentrated Effect
- Fresh Clip
Electrocuting Arrow – สกิลของอาวุธธนูใส่ติดมาเพื่อช่วยหลบและติดสถานะ Electrocute ส่วนมากใช้ตอนเจอบอสไม่ได้ใช้ตอนปกติเท่าไหร่
Emergency Reload
- Ingenuity
- PREMEDITATION
8.Wind Dancer – เอาไว้เพิ่มโอกาสรอด และช่วยเพิ่มค่าหลบหลีก
- Maim
- Unbreakable
- Cannibalism
วอร์ดมนตรา – สกิลที่จะได้หลังจากอัป Obsesive Riturals
- Fire Mastery
- Cold Mastery
- Lightning Mastery
- Precision
*พวกนี้เอามาเพิ่มเวลสกิลไว้เร่งคูลดาวน์
สำหรับสกิลที่ควรปลดช่องก่อนจะเป็น Galvanic Shards > Shockburst Rounds > Herald of Thunder > High Velocity Rounds
ในช่วงท้ายผมจะรีสเตตัสบางส่วนมาเล่น Int เพื่อนำ Cast on Shock มาเพิ่ม และใส่สกิลตัวนำไฟฟ้ากับ นำ คำแช่งประจุมาใส่ไว้ในนี้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องร่ายเองบ่อยๆ
Passive สกิลสำคัญ
ไล่ตามลำดับที่จะไปถึง
- Quick Change Act – เพราะต้องสลับอาวุธบ่อยพอสมควรช่วงท้าแต่ตอนแรกยังไม่ต้องอัปก็ได้
- Instant Reload – จำเป็นมากเพราะปืนหลายชนิดต้องรีโหลดบ่อย
- Emboldened Avatar – ทำให้ศัตรูติด Shock กับ Electrocute ง่ายขึ้น
- Flash Storm – เร่งดาเมจไฟฟ้า
- Lightning Rod – เร่งดาเมจไฟฟ้าเพราะปกติเราจะไม่ค่อยเน้นคริอยู่แล้ว
- Reusable Amunition – ช่วยทำให้เรามีโอกาสไม่เสียกระสุนจำเป็นใน Act หลังๆ เพราะเราต้องเปลี่ยนหน้าไม้
- พออัพถึง Resuable Amunition เราจะวนกลับไปเส้นกลางเอาสกิลต่อไปนี้
- Catalysis – เพิ่มดาเมจธาตุ
- Rattled – ทำให้ติดช็อกนานขึ้นจะได้มีเวลาเบิร์ส
- Beastial Skin – เพิ่มค่าหลบ 100% บนชุด (ถ้าไม่ชอบไปอีกเส้นได้หรือข้ามได้)
- Proficiency – เอาค่า DEX+25
- Coming Calamity – อัปเพื่อเร่งดาเมจจากสกิลสายฟ้า (ส่งผลเมื่อเปิดสาสน์)
จบด้านบนเราจะเลเวลอยู่ที่ประมาณ 70 ตรงนี้สามารถเล่น End Game ในแทพ Atlast ได้ช่วงต้นๆ พอเลเวลอัปเราควรปรับของและสามารถอัปสกิลเพื่อเอาตัวรอดได้ โดยแนะนำเป็น สกิลตามรายการด้านล่าง
- General’s Bindings – เพิ่มความหนา
- Leather Bound Gauntlets – เพิ่มความหนา
- Feel no Pain – เอามาเพิ่มเกราะกับหลบ
- Battle-hardened – เอามาเพิ่มเกราะและหลบ
- Enhanced Reflexes – เอามาเพิ่มการหลบหลีก
- หลังจากที่เริ่มอยู่ตัวแล้วเราสามารถเพิ่มดาเมจได้ด้วยการอัป
- Overwhelm บวกดาเมจมหาศาลมากให้อาวุธสองมือ
*Note ตรงช่วงท้ายเราจะต้องรีบางสกิลออก
ซึ่งตอนอัปหมดนี่เราน่าจะมีเลเวลประมาณ 80 ซึ่งหังจากนี้จะมีอยู่สองแนวทางคือปรับบิ้วไปผสมเป็นสายเวท(แต่งบประมาณสูง) หรือหาอัป Node เพิ่มดาเมจอื่นๆ เพิ่มเติม โดยในช่วงท้ายผมได้ลองรีสกิลบางอย่างออกและอัป Jack of all trade เพิ่มก็สามารถทำดาเมจได้น่าพอใจระดับนึงเลย
Combo และวิธีเล่น
มอนสเตอร์ – ในการเคลียร์มอนสเตอร์ทั่วไป สามารถใช้ลูกศรกระแสไฟจัดการได้เลย แต่หากเจอตัวชื่อทองโหดๆ อาจจะสลับมาเป็น ลูกศรความเร็วสูงเพื่อยิงทำดาเมจจากระยะไกลเอา
บอส – ในช่วงต้นเกมเราจะใช้ศรช็อตปราสาทเปิดแล้วตามด้วยศรความเร็วสูงเป็นหลัก เพื่อให้บอสติดสถานะ Electrocute แต่ในช่วงหลังเราจะแค่ยิงด้วยลูกศรกระแสไฟฟ้าให้บอสติดช็อตแล้วตามด้วย ลูกศรช็อคสะท้าย พอจะหมดแม็กก็จะใช้ Emergency Reload เพื่อเร่งดาเมจอีกที
Ascendancy
ส่วนตัวแล้วผมแนะนำตามนี้ครับ โดยครั้งแรกที่เลเวลอัปให้เลือกไปที่ Obsessive Rituals ทำให้เราตายยากขึ้น และหากว่าเรารู้สึกว่าตัวเองบางไปอัปเต็มก่อนก็ได้พอมีค่าหลบหลีกเยอะๆ ค่อยไปเส้นอื่น โดยเส้นขวาZealous Inquisition จะมีความสำคัญน้อยสุดเอาไว้รอดแน่นอนแล้วค่อยอัป
การเล่นช่วง End Game
ในบิ้วที่ผมทำไว้อันนี้สามารถเล่นได้จนจบถึงแผนที่ระดับ 15 – 16 เลยแต่ในช่วงแมพระดับ 15-16 จะเริ่มเล่นได้ลำบากขึ้น อาจจะต้องเปลี่ยนสาย โดยเบื้องต้นหากไม่คิดอะไรมากสามารถเล่นยาวได้จนถึงเลเวล 80+ เลย แต่พอถึง 90 แล้วจะเริ่มเล่นลำบากครับ เพราะเคลียร์แมพท้ายๆ ยากและยังมีความเสี่ยงในการตายสูง ผมเลยย้ายไปเล่นสายอื่น โดยผมจะแนะนำสายที่ผมย้ายไว้ในบทความถัดไป POE2 – Witch Hunter หน้าไม้สาย [End Game]
